Past Simple Tense
6.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + Verb 2
( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )
ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
- They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
6.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do
ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1
( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
- They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
ข้อสังเกต : เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
6.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1
( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )
– Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )
– No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )
- Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่
– Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น )
– No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น
6.4 หลักการใช้ Past Simple Tense
- ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประ
คำ กลุ่มคำ อนุประโยค
Ago last night when he was young
Once last year when he was five years old
Yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo during the war
เช่น I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )
- His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )
- He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )
6.5 หลักการเติม ed ที่คำกริยา
- กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love – loved = รัก
move – move = เคลื่อน
hope – hoped = หวัง
- กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry – cried = ร้องไห้
try – tried = พยายาม
marry – married = แต่งงาน
ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น
play – played = เล่น
stay – stayed = พัก , อาศัย
enjoy – enjoyed = สนุก
obey – obeyed = เชื่อฟัง
กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan – planned = วางแผน
stop – stopped = หยุด
beg – begged = ขอร้อง
- กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur – concurred = ตกลง, เห็นด้วย
occur – occurred = เกิดขึ้น
refer – referred = อ้างถึง
permit – permitted = อนุญาต
ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover – covered = ปกคลุม
open – opened = เปิด
- นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk – walked = เดิน
start – started = เริ่ม
worked – worked = ทำงาน